FIC-YAOI 18+( TadashixHiro ) Shades of sakura memory - FIC-YAOI 18+( TadashixHiro ) Shades of sakura memory นิยาย FIC-YAOI 18+( TadashixHiro ) Shades of sakura memory : Dek-D.com - Writer

    FIC-YAOI 18+( TadashixHiro ) Shades of sakura memory

    ถ้าหากความรักระหว่างพี่น้องเป็นสิ่งที่ผิด แล้วจะเป็นอะไรมั้ยถ้าพวกเราขอทำลายกฎต้องห้ามนั้นทิ้งซะ!!!

    ผู้เข้าชมรวม

    4,157

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    23

    ผู้เข้าชมรวม


    4.15K

    ความคิดเห็น


    38

    คนติดตาม


    79
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ก.พ. 58 / 20:24 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    TADASHI x HIRO

     

     

















    ฟิคนี้เกิดจากการอวยคู่นี้โดยเฉพาะล้วนๆ หวังว่าทุกคนจะชอบในความรักของพี่น้องฮามาดะนะ

     

    ไม่ว่าพี่ทาดาชิจะได้ไปแล้ว แต่เขาจะยังอยู่ในหัวใจของไรเตอร์นะตลอดไปล่ะ FC TADASHI-NIICHAN ( T w  T )

     

    ทุกคนอ่านแล้วก็อย่าลืมเม้นกันด้วยนะครัชๆ ขอเชิญสนุก(?)ปนเศร้ากับความรักต้องห้ามของพี่น้องเลยจ้าาาา




    (เรทวาร์ปนะตัวเธอว์ = = ) 



    ใครลิงค์ไปวาร์ปเรทใน Exteen ไม่ได้ บอกเราได้นะ เดี๋ยวเราส่งลิงค์ให้ ไม่ก็ทิ้งเมลล์ไว้ก็ได้จ้า
    #อยากให้ทุกคนได้อ่านจริงๆ ไม่อ่านเสียดายแย่เลยน้าาา >___<

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       


      “ เมื่อคนเรามีความรัก ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของความโลภ ”

       


      ความโลภที่สร้างความปรารถนาอันแรงกล้าทำให้เราโหยหาความรักไม่จบสิ้น

       


      เมื่อความโลภครอบงำ มันทำให้เราลุ่มหลง เปรมปรีดิ์ และสุขสันต์

       

       

      แต่หากเมื่อใดถึงเวลาที่เราต้องเสียมันไป.....

       

       

      มันไม่ต่างอะไรจากตายทั้งเป็น ความทรมานที่ราวกับร่างกายแสนเปราะบางถูกฉีกขาดเป็น 2 ท่อน หรือหากเหมือนถูกทำลายจิตวิญญาณจนดับสิ้น

       

       

      ถ้าต้องทรมานขนาดนี้ ผมขอไม่มีความรู้สึกรักใครอีกต่อไปยังจะดีซะกว่า....

       

       

      ใช่มั้ย!!? พี่ทาดาชิ.... ทำไมผมต้องรักพี่ขนาดนี้ด้วยนะ?

       

      ทำไมกันนะ......

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      บานสะพรั่ง....

       

       

      ท่ามกลางกรุงซานฟรานโซเกียวอันแสนยิ่งใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยตึกสูงตระหง่านงามตาพร้อมทัศนียภาพของภูเขาฟูจิลูกใหญ่ยักษ์อันเป็นสัญลักษณ์ของแดนแห่งนี้ เมืองที่แสนครึกครื้นของผู้คนมากมาย รางรถไฟฟ้าที่ลาดยาวสุดลูกหูลูกตา ชีวิตนับหลายล้านในเมืองแห่งสีสัน ใต้ร่มซากุระสีชมพูนวลนุ่มพริ้วไสวไปตามสายลมราวกับเสียงเพลงขับกล่อมของทวยเทพ

       

       

      มันก็คงดูสุดยอดอย่างที่ว่าถ้าไม่ติดตรงที่ผมต้องมานั่งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายอยู่ตรงป้ายรถเมล์ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับโซเกียวทาวเวอร์แสนสูงสง่าใจกลางเมืองนี้น่ะนะ

       

       

      ถามว่าทำไมถึงมานั่งถอนหายใจอยู่กลางเมืองนี่น่ะเหรอ?

       

       

      นั้นน่ะก็เพราะ......

       

       

      ฮิโระ~~~~”  

       

       

      มานั่งรอพี่ชายตัวแสบยังไงล่ะ!!!!! เสียงทุ้มเข้มของใครบางคนกระชากผมออกมาจากความคิดโดยหมดสิ้น  นัยน์ตาสีดำสนิทของผมพลันหันขวับไปจับจ้องเจ้าของร่างสูงก่อนที่จะรีบขมวดคิ้วเป็นปมยิ่งกว่าเก่า มือที่รู้งานรีบชี้ใส่คนตรงหน้าพร้อมเริ่มเหวี่ยงลั่น

       

       

       

      ไอ้พี่บ้า!!! นี่ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ ” เล่นนัดตั้งแต่ 10 โมงเช้า แต่นี่อะไร บอกขอแวะไปมหาลัยแปปเดียว ตอนนี้มันปาไปบ่าย2 แล้วนะ!!!

       

       

      โว้ย!!! ผมจะบ้าตาย!!!!

       

       

       

      “ พี่ขอโทษ คือ.... พี่ต้องไปช่วยงานเพื่อนนิดหน่อยน่ะ ” ร่างสูงยิ้มหวานยวนใจก่อนที่มือเรียวยาวจะเลื่อนไปดึงหมวกแก๊ปใบโปรดออกจากหัวตนมาสวมให้ผมแทน

       

       

       

      อย่าโกรธพี่นะ เดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงไทยากินะๆๆ ” พี่ชายขี้อ้อนรีบยื่นหน้าเขามาใกล้ราวกับกำลังออดอ้อนเหมือนเด็กน้อย

       

       

       

      เล่นทำหน้าแบบนั้น…..

       

       

       

      “ อ่ะๆๆๆ ก็ได้ ผมยอม!! ” ผมแสร้งหันหน้าไปทางอื่นแทนพลางรีบตัดบท พอเห็นแบบนั้นเจ้าของนัยน์ตาสีเดียวกับผมก็ถอยกลับไปยื่นท่าเดิมแล้วก็ยิ้มแป้นอีกครา

       

       

      เย้ๆ   ฮิโระของพี่น่ารักที่สุดเลย ไปกันเถอะ ขืนกลับบ้านสายป้าเคสจะกักบริเวณเราอีกแน่

      อีกฝ่ายพูดจบผมก็ได้แค่พยักหน้าหงึกๆเป็นการตอบรับแล้วรีบเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของพี่อย่างรู้หน้าที่

       

       

       

       ยานพาหนะสีแดงคู่ใจแล่นทะยานออกจากใจกลางเมืองไปอย่างรวดเร็ว สายลมอ่อนๆพัดฝ่าร่างของเราสองคนไปอย่างนุ่มนวล ผมเลื่อนมือไปกระชับหมวกแก๊ปที่สวมบนหัวตนให้แน่นขึ้นพลางเหม่อมองทิวทัศน์ข้างกาย ต้นซากุระที่ถูกปลูกรายล้อมบนฟุตบาทสูงตระหง่านและพลิบานออกดอกสีสวยเต็มต้น กลีบของมันถูกสายลมอุ่นๆพัดปลิวว่อนไปรอบเมืองจนต้องเผลอมองอย่างอดไม่ได้

       


       ผมโอบเอวพี่ทาดาชิแน่นกว่าเก่า จากนั้นจึงค่อยๆซบหน้าลงกลางแผ่นหลังที่แสนอบอุ่นอย่างเช่นเคย อาจเพราะสายลมที่อุ่นสบาย หรือหากเพราะกลีบซากุระที่ร่วงลงมาราวกับอยู่ในความฝันทำให้ผมอยากติดอยู่ในห้วงเวลานี้ตลอดกาลเหลือเกิน

       

       

       

      พี่…..” ผมเอ่ยเสียงเบา แต่เสียงลมกลบก็เสียงของผมไปแทบหมดจนพี่ทาดาชิต้องไม่ได้ยินแน่ๆ แต่ก็เอาเถอะ....  ลองเล่นอะไรดูหน่อยดีกว่านะ

       

       

       

      ผมตัดใจลองแกล้งเอ่ยถ้อยคำที่ผลุบคิดขึ้นมาออกไปราวกับกำลังละเมอ แต่มันก็คงเบามากๆซึ่งผมไม่ได้หวังอะไรตอนที่พูดออกไปหรอก

       

       

       

      “ ผมรักพี่นะ ”

       

       

       เสียงสายลมก้องๆทำให้เสียงของผมอู้อี้ไปหมด แต่หัวใจกลับเบาหวิวเหมือนเป็นเพียงขนนกอันแสนเบาบาง

       

       

       

      ความรู้สึกแสนหอมหวานถูกพัดไปตามสายลมโดยที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเจ้าของแผ่นหลังตรงหน้าจะแอบเอื้อมมือลงมากระชับแขนเล็กๆของผมแน่นขึ้น

       

       

       

      “ พี่ก็รักนาย ”

       

       

      ฝ่ามือที่แสนอบอุ่นและถ้อยคำแสนอ่อนโยนดังก้องตราตรึงในหัวใจของผม

       

       

       

      ไม่ดีเลย......

       

       

      แบบนี้ไม่ดีเลย..... ทำไมพวกเราถึงต้องเกิดมาเป็นพี่น้องกันด้วยนะ

       

       

       

      ทำไมพวกเราต้องรักกันมากขนาดนี้ด้วยนะ......

       

       

      ผมได้แต่หลับตาลงและทบทวนถ้อยคำเหล่านั้นกลับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า........

       

       

       

       


       

       

      นี่พวกหลานแอบไปฝึกคาราเต้กันมาอีกแล้วใช่มั้ย!!! ป้าบอกแล้วไงว่าฝึกน่ะฝึกได้ แต่เล่นกลับมาซะดึกแบบนี้ได้ยังไง หา!!! ” เป็นไปตามคาด เมื่อพวกเรากลับมาถึงบ้านป้าเคสก็วีนแตก

       

       

      เธอด่าพวกเราต่อไม่นานก็รีบชี้ไปที่นาฬิกาแขวนซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเชิงให้พวกเรารู้จักดูเวลาซะบ้าง ดวงตาสีเขียวแกมน้ำตาลเข้มกลมโตกลอกตาอย่างเซ็งๆเหมือนพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเวลา ป้าเคสเลื่อนมือขึ้นขยี้เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของตนให้ฟูยุ่งกว่าเก่าแล้วจึงหันมาด่าพวกเราอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

       

       

       

       

      พวกหลานนี่นะ ครั้งที่แล้วก็แอบไปแข่งบอทอะไรนั้น วันนี้ยังจะไปฝึกคาราเต้จนไม่ดูเวลาอีกเนี่ย ไปๆ!!! รีบไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวเลยนะ ” หญิงสาววัยกลางคนโบกไม้โบกมือไล่ผมและพี่ทาดาชิให้เร่งเดินเข้าไปภายในร้าน Lucky cat café หรือเรียกง่ายๆ บ้านของพวกเราเองนั้นแหละครับ

       

       


       ภายในร้านคาเฟ่นี้ถูกแต่งแต้มไปเฟอร์นิเจอร์ที่ผสมผสานระหว่างเครื่องเรือนแบบโมเดิร์นและของตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นโบราณสีสบายตา เก้าอี้และโต๊ะเล็กๆสีส้มอ่อน ตุ๊กตาแมวกวัก และเคาน์เตอร์บาร์ที่เต็มไปด้วยขนมมากมายหลากหลายชนิด ที่สำคัญที่นี่เต็มไปด้วยบทกวีมากมาย ป้าแกชอบพวกบทกวีมากครับ เธอคอยเฝ้าสอนผมกับพี่ทาดาชิเกี่ยวกับกลอนพวกนี้ตลอด แม้ว่าผมจะไม่ค่อยสนใจก็เถอะ 

       

       

       

       

      อีกอย่างพวกคุณอาจไม่รู้ก็ได้ว่างานอดิเรกของผมกับพี่ทาดาชิคือการฝึกคาราเต้ด้วยกัน พวกเราชอบเล่นคาราเต้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ทุกอาทิตย์ที่พี่ว่าง เขาจะพาผมไปฝึกเสมอ แต่ทำไมไม่รู้ ทุกๆครั้งที่ไปฝึกด้วยกัน พี่ทาดาชิจะเก่งขึ้นตลอด มีแต่ผมนี่สิที่ตามพี่เขาไม่ทันซะที

       

       

       

       

      พูดไปแล้วก็เหนื่อยใจ ผมรีบหันไปมองพี่ชายที่นอนแผ่กายบนเตียงของผมอย่างสบายใจเฉิบแบบเซ็งๆ เจ้าตัวเองก็เหลือบมามองผมแล้วยิ้มหวานละลายใจ

       

       

       

      ไม่รู้สึกผิดเลยสินะ ไอ้พี่บ้า!!!

       

       

       

      “ งั้นผมขออาบก่อนนะ ” ผมตัดบทสั้นๆแล้วหมุนตัวหนีไปทางประตู ในใจกะจะรีบไปแช่น้ำอุ่นให้หายเหนื่อย วันนี้คงเผลอซ้อมคาราเต้มากไปหน่อย ปวดตัวไปหมดแล้ว

       

       

       

       

      ไวกว่าความคิด ไม่ทันที่ผมจะได้จับถึงลูกบิดประตูซะด้วยซ้ำ ท่อนแขนที่แข็งแกร่งของใครบางคนก็คว้าเอวเล็กๆของผมเอาไว้แน่น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคือคุณพี่ชายตัวแสบนั้นแหละ

       

       

       

       

      พี่!! ผมจะอาบน้ำ ” ผมกลอกตาเซ็งๆใส่ประตูห้องพลางเอ่ยเสียงเบา แต่ร่างสูงก็ไม่มีท่าทีจะยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระเลยซักนิด  พี่ทาดาชิเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ใบหูของผมก่อนที่เขาจะกระซิบเสียงยวนใจ

       

       

       

      เจ็บมั้ย? ” มือหนาที่แสนซุกซนเลื่อนสัมผัสรอยช้ำจางๆบนหัวไหล่ขาวเนียนของผม ได้ยินแบบนั้นผมก็มองตามฝ่ามือนั้นไปแล้วเอ่ยกลับ แผลนี่คงได้มาเพราะตอนซ้อมเมื่อกี้สินะ

       

       

       

      “ นิดหน่อย ”

       

       

       

      เหรอ  ขอโทษนะ ”

       

       

       

      โห!!! พี่ คาราเต้นะ ก็มีแผลช้ำบ้างล่ะ ไม่ใช่ หมากรุกจะได้ไม่มีแผลน่ะ ”

       

       

       

      นั้นสิเนอะ ฮ่ะๆๆๆๆ ” ถึงปากจะว่าแบบนั้น แต่ท่อนแขนของเขาก็ยังรั้งเอวของผมไว้แน่น แน่นจนผมกระอักกระอ่วนแบบไปไม่ถูกขึ้นมาทันที

       

       

       

       ภายในห้องที่มีเพียงไฟสลัวจากโคมไฟบนหัวโต๊ะคอยให้แสงสว่างแก่เรา ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเห็นนัยน์ตาสีดำสนิทแสนอ่อนโยนนั้นอย่างชัดเจน ลมหายใจอุ่นๆที่เหนือใบหูและเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นสับ ท่อนแขนอุ่นๆรวมถึงร่างกายที่แนบชิด

       

       

       

      “ พี่…. ผมจะอาบน้ำ ” ผมกลั้นใจพูดออกไปทันที ไม่อย่างนั้น ผมคงได้ทนไม่ไหวแน่ๆ....

       

       

      “ ……. ” คนตัวสูงเองก็ได้เงียบไม่ยอมตอบ

       

       

      ปล่อย......

       

      “……...”

       

       

       

      พี่!!! ปล่อยผมนะ!!! ” ผมพยายามสะบัดตัวออกจากพันธนาการนั้น แต่ร่างสูงก็ยังรั้งร่างกายผมเอาไว้ราวกับเป็นปีศาจจอมดื้อดึง

       

       

       

       “ ไม่.... ” คำตอบสั้นๆ แต่ทำไมมันกลับมีอิทธิพลกับหัวใจผมเหลือเกินนะ....

       

       

       

      “ …… ”

       

       

       

      “……..” คราวนี้เราเงียบกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครพูดอะไร เพียงปล่อยให้ความรู้สึกเงียบงันกลืนกินพวกเราให้จมสู่ความมืดมิด

       

       

       

      แต่ผมก็ต้องสะดุ้งจากภวังค์เมื่อริมฝีปากบางสวยคู่นั้นเลื่อนมาสัมผัสที่รอยแผลช้ำตรงหัวไหล่ของผมอย่างนุ่มนวล นุ่มนวลเหมือนกำลังดูดกลืนขนมรสหวานชวนติดใจ.....

       

       

       

      ราวกับไม่พอ..... พี่ชายตัวแสบไล่สัมผัสซอกคอของผมอย่างสนุกสนานจนผมเบิกตากว้าง มือที่รู้งานรีบดันตัวเขาออก แต่ก็ไร้เรี้ยวแรงใดๆ

       

       

       

      ยิ่งปฎิเสธ...ยิ่งเคลิบเคลิ้มกับสัมผัสของอีกฝ่ายเข้าไปใหญ่

       

       

       

       “ พี่..... ป้าเคส.....อยู่ชั้นล่างนะ ” ผมแทบพูดไม่เป็นคำ ทั้งๆที่สติถูกตัดขาดจนสมองว่างเปล่าแต่กลับรู้สึกถึงสัมผัสของฝ่ามืออุ่นที่กำลังโอบรัดเอวของผมเอาไว้อย่างชัดเจน

       

       

       

       

      “ ใครสน ” ชายหนุ่มพูดตัดเสียงสั้นพลางดึงร่างผมให้หันกลับมาสบตากับเจ้าของใบหน้าหล่อทะเล้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลันเผยขึ้นบนใบหน้า ว่าแล้วก็เลื่อนมือขึ้นมาแตะริมฝีปากล่างของผมอย่างแผ่วเบาเหมือนกำลังหยอกเล่น

       

       

       

      คนตัวสูงดึงผมเข้ามาแนบกายและสอดมือขึ้นรั้งท้ายทอยของผมอย่างรู้หน้าที่ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เอะอะโวยวายใดๆ พี่ทาดาชิก็รีบชิงประกบริมฝีปากคู่สวยนั้นลงมากลบเสียงของผมเอาไว้ ทำให้ท่ามกลางความมือสนิทเหลือเพียงเสียงอู้อี้ของผมที่ดังเล็ดลอดออกมาเบาๆ

       

       

       

      อื้อ.... ” ผมพยายามส่งเสียงประท้วงในลำคอแต่ก็ไม่เป็นผล อีกฝ่ายยิ่งกระชับมือที่รั้งท้ายทอยผมให้เข้ามาใกล้มากขึ้น อีกมือก็เลื่อนลงไปสัมผัสแผ่นหลังของผม ลงไปที่เอว ขาอ่อน ลงไปเรื่อยๆจนผมลุกลี้ลุกลน ดิ้นเป็นลูกแมวไปเลย ความรู้สึกร้อนวาบแล่นไปทั้งร่าง ใบหน้าเริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อจางๆ เสียงลมหายใจที่ติดขัดขัดกับริมฝีปากที่สัมผัสกันอย่างนุ่มนวลเหมือนห้วงเวลาถูกหยุดค้างเอาไว้ในความฝันที่ไร้จุดหมาย

       

       

       

      พี่เขาบ้าไปแล้ว!!!!

       

       

       

      ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติที่เราแอบหยอกเล่นกันแบบนี้ แต่วันนี้มันแปลกกว่าวันอื่น....

       

       

       

      แน่นอนว่า ความรู้สึกที่พวกเรามีต่อกันนั้นมันมากกว่าพี่น้องทั่วไป ตั้งแต่ผมเสียพ่อกับแม่ไป ก็มีแต่พี่ทาดาชิกับป้าเคสที่คอยอยู่เคียงข้างผม มันเลยกลายเป็นความรู้สึกผูกพัน

       

       

       

      ผูกพันจนมากเกินไป.......

       

       

       

      พวกเราไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ป้าเคสรู้ ถ้าเธอรู้ เธอคงแทบบ้า... คงรับไม่ได้ที่หลานชายทั้งสองคนเป็นพวกวิปริตกินกันเองแบบนี้สินะ........

       

       

       

       

      สัมผัสที่ริมฝีปากถี่รั่วขึ้นเรื่อยๆ รสจูบแสนหอมหวานชวนฝันทำเอาร่างกายผมอ่อนยวบยาบ คนตัวสูงสอดลิ้นอุ่นๆเข้ามาในโพรงปากของผมก่อนที่จะไล่ละเลียไปทั่ว สติของผมเลือนรางจนแทบไม่เห็นภาพตรงหน้า แต่สิ่งที่ยังคงเห็นชัดเจนคือใบหน้าหล่อเหลาที่แสนคุ้นเคยในระยะประชิด จูบของพวกเรายังคงดำเนินต่อไปไม่หยุดนิ่ง ผมหลับตาลงอย่างยอมแพ้พลางสอดมือผ่านเส้นผมนุ่มสีดำสนิทแล้วเปิดรับสัมผัสนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม ปล่อยให้ความรู้สึกของพวกเราผสานกันไปเรื่อยๆจนแทบลืมหายใจ

       

       

       

       

      แต่ยังไง ความจริงก็ยังอยู่ตรงหน้า........

       

       

       

       

      “ เฮ้!!! ฮิโระ ทาดาชิ ลงมากินข้าวได้แล้วจ๊ะ ” เสียงของป้าเคสดังแทรกขึ้นมาจากชั้นล่างฉุดสติของผมให้กลับมาจากห้องแห่งความฝัน แต่นั้นก็ไม่ทำให้พวกเราหยุดจูบกันในทันที พี่ทาดาชิเลื่อนริมฝีปากออกห่างจากผมอย่างอ้อยอิ่งเหมือนไม่อยากหยุดลิ้มลองลูกกวาดรสหวานก็ว่าได้

       

       

       

       

       

      พวกเราสบตากันเงียบๆอย่างรู้ความหมาย  ก่อนที่พี่ทาดาชิจะเป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งให้ผมติดอยู่ในความเงียบงันเพียงลำพัง ปล่อยให้ผมได้แต่สับสนกับความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาในหัวจนแทบระเบิด

       

       

       

      แต่ผมก็รู้ดีว่าไม่ว่ายังไง สุดท้าย “พี่น้อง” ไม่มีทางรักกันได้….

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      สวัสดี ผมชื่อเบย์แม็กซ์ ที่ปรึกษาส่วนตัวด้านสุขภาพของคุณ

       

       

      และแล้วในวันหนึ่ง พี่ทาดาชิก็ได้พาผมมารู้จักกับสิ่งมีชีวิตบางอย่าง ไม่สิ ต้องเรียกมันว่าหุ่นยนต์มากกว่า แม้ว่ารูปร่างและความนุ่มนิ่มนั้นมันจะไม่เหมือนหุ่นยนต์เลยซักนิดล่ะนะ

       

       

       

       

      “ พี่อยากให้นายเห็นเบย์แม็กซ์เป็นคนแรก เขาต้องช่วยผู้คนได้อีกมากมาย ” พี่ทาดาชิหันมายิ้มหวานให้ผม หลังจากเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาวเหมือนมาร์ชเมลโล่กลับลงไปในกล่องสีแดงที่ๆมันออกมาได้สักครู่แล้ว

       

       

       

       

      “ นี่ที่พี่มาแล็บนี้บ่อยๆเพราะแบบนี้เองเหรอ? ” ผมแสร้งถามพร้อมรอยยิ้ม ช่วงก่อนเห็นพี่แอบมาที่ห้องแล็บอิโตอิชิโอกะบ่อยๆ เพราะเวลานัดกับผมทีไร ก็แทบจะมาสายทุกครั้งจนเอือม

       

       

       

       

       

      ที่นี่คือห้องแล็บส่วนตัวของสถาบันวิจัยเทคโนโลยีซานฟรานโซเกียวซึ่งพี่ชายของผมเรียนอยู่ เมื่อกี้พี่ทาดาชิพาผมไปรู้จักกับเพื่อนๆของเขามา ทุกคนดูเป็นคนดีกันมากๆ ที่สำคัญที่นี่น่าสนใจสุดๆไปเลย สำหรับเด็กที่ชอบเรื่องเกี่ยวกับหุ่นยนต์อย่างผมได้ถูกความน่าตื่นเต้นของห้องแล็บแห่งนี้ดึงดูดเข้าไปแล้ว เมื่อกี้ผมพึ่งได้เจอกับศาสตราจารย์โรเบิร์ต คัลลาแฮน เขาชวนผมเข้าเรียนที่นี่ด้วย ในใจผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก นับว่าเป็นอารมณ์ตื่นเต้นแบบสุดขีดเลยก็ว่าได้

       

       

       

       

      นานแล้วที่ผมไม่ได้เข้าเรียนร่วมกับคนอื่นแบบนี้ อาจเพราะความฉลาดของผมที่มากกว่าเด็กทั่วไป จนเข้ากับใครไม่ค่อยได้ ถึงต้องอยู่ที่บ้านและเรียนรู้เรื่องต่างๆด้วยตัวเองตลอดมาแบบนี้

       

       

       

      “ ชอบมั้ย? ” พี่ชายลอบมองรอยยิ้มที่หลุดลอดขึ้นมาบนใบหน้าของผมแล้วเอ่ยถาม

       

       

       

      “ ครับ ผมอยากเรียนที่นี่ ” ผมตอบอย่างไม่ปิดบัง

       

       

       

      “ ถ้าเป็นนายต้องทำได้แน่ พี่เชื่อมั่นในตัวนายนะ ”

       

       

       

      ครับ ”

       

       

       

      อยากไปไหนต่อมั้ย? หรือจะรีบกลับบ้านเลยล่ะ? ” พี่ทาดาชิถามเสียงเรียบ

       

       

       

      “ ก็... อยากเดินดูที่นี่รอบๆอีกครั้งน่ะ ผมยังคิดไม่ออกว่าจะสร้างอะไรในงานประกวดการวิจัยเลยล่ะ ” ผมทำท่าครุ่นคิดประกอบ เช่นเดียวกับคนตัวสูงที่ฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง พี่ทาดาชิเดินไปสำรวจกระเป๋าสีแดงซึ่งเป็นกล่องที่เจ้าเบย์แม็กซ์เข้าไป ขณะที่ผมกำลังเดินไปรอบๆห้องเชิงสำรวจต่อ

       

       

       

       

      หลังจากผมเดินสำรวจห้องแล็บอื่นอยู่นาน ผมก็รีบเดินกลับไปที่ห้องแล็บของพี่ทาดาชิทันที เมื่อถึงห้องกว้างตรงหน้า ผมแอบเห็นพี่ทาดาชิก้มเล่นโทรศัพท์อยู่ชั่วครูก่อนที่เขาจะรีบเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมรอยยิ้ม

       

       

       

       

      “ ทำไมเหรอพี่? ” ผมรีบเอ่ยถาม

       

       

       

      “ พี่ขอป้าเคสว่าวันนี้เราจะค้างที่นี่ ” สิ่งที่พี่ชายตอบกลับมาเล่นทำเอาผมตกใจจนยืนค้าง

      อะไรนะ? ค้างที่นี่ ที่ห้องแล็บเนี่ยนะ.... เจ๋ง!!!

       

       

       

       

      “ ยอดไปเลยพี่ ผมเริ่มจะคิดอะไรดีๆออกบ้างแล้ว จริงๆผมก็ว่าจะขอพี่เรื่องนี้ซะหน่อย” ผมฉีกยิ้มพร้อมที่พี่ทาดาชิเดินเข้ามาลูบเส้นผมฟูๆของผมอย่างรู้ใจ

       

       

       

       

      “ พี่รู้น่า!! ว่าน้องพี่ต้องการอะไร ทุกอย่างที่พี่ทำให้ได้ พี่ทำมันให้นายเสมอนะ เด็กดี ”

       

       

       

      “ ฮะ ...... ”

       

       

       

      “ เอาล่ะ!! แล้วตอนนี้พวกนั้นกลับบ้านกันไปหมดรึยังล่ะเนี่ย ” พี่พูดพลางมองผ่านหัวผมไปทางประตูเหมือนกำลังมองหาอะไรบาองอย่างอยู่  เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็เลยรีบพูดต่อ

       

       

       

       

      “ วาซาบิกับโกโก้กลับแล้วฮะ แต่เหมือนเฟรดกับฮันนี่เลม่อนยังเคลียร์งานอะไรซักอย่างอยู่ ”

       

       

       

      อ่อ.... งี้นี่เอง ” นัยน์ตาสีดำฉายแววเสียดาย แถมยังแอบเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจเท่าไหร

       

       

       

      อะไร? พี่ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงเนี่ย ” เมื่อเห็นพี่ทาดาชิทำแก้มป่องผมก็แอบสงสัยไม่ได้ พอเป็นแบบนั้นเจ้าตัวก็พลันยิ้มทะเล้นขึ้นมาเลย

       

       

      ก็.....อยากให้ที่นี่มีแต่เราสองคนนี่น่า

       

       

       

      พี่!!! ” หน้าผมร้อนวาบ ทำไมพี่ต้องพูดอะไรชวนให้ผมหวั่นไหวตลอดด้วยเนี่ย =////=

       

       

       

      “ ไม่เปนไรๆ รอสองคนนั้นกลับแล้วเรา..... ” คนเจ้าเล่ห์พุ่งมาคว้าตัวผมอย่างรวดเร็ว เสียงแหบเซ็กซี่เหนือหัวจะทำเอาหัวใจผมเต้นจนแทบทะลักออกมาแล้วเนี่ย!!

       

       

       

      “ พี่!! อย่าแกล้งผมสิ =////= ”

       

       

       

      “ แต่ตอนนี้เราออกไปหาอะไรกินกันเถอะ!! นายคงหิวแล้ว พี่ว่าเราแวะซื้อข้าวปั้นที่น้องชอบตรงร้านสะดวกซื้อนั้นกันดีกว่า ” คนขี้แกล้งผละออกห่างจากผมพร้อมด้วยเสียงร่าเริง

       

       

       

      “ แล้วแต่พี่เลย นิสัยไม่ดี แกล้งน้องตัวเอง  ” ผมแสร้งงอน

       

       

       

      “ อะไรเล่า...” พี่ชายเดินมาที่ผมก่อนที่จะกระซิบเสียงเบาเหมือนอยากให้เราได้ยินกันแค่สองคน 

       

       

       

      แต่ที่พูดเมื่อกี้.......พี่เอาจริงนะ

       

       

       

      พี่!!! =////= ”

       

       

       

      ฮ่ะๆๆๆ แต่ตอนนี้เราไปหาอะไรกินกันดีกว่าครับ เด็กดีของพี่ ”

       

       

       

      เพราะแบบนี้ไง!! จะไม่ให้ผมรักผู้ชายคนนี้จนหมดหัวใจก็บ้าแล้วล่ะครับ.....

       

       

       

       

       

       

       

       

      “ ว่าแต่ที่ว่านอนเนี่ย เราจะนอนตรงไหนกันล่ะพี่? อย่าบอกนะว่าพื้นเนี่ย!! ” ผมแลบลิ้นเชิงไม่มีทางแล้วทำท่าเหยียบพื้นประกอบเป็นการบ่งบอกว่าพื้นนี้เย็นเจี๊ยบจนนอนไม่ได้ หลังจากเรากินข้าวและนั่งปรึกษากันเรื่องงานวิจัยของผมได้คราวๆ ผมก็พึ่งนึกเรื่องที่นอนขึ้นได้

       

       

       

       

       

      พี่บอกป้าเคสว่าเราจะค้างที่นี่ แต่ที่นี่เป็นแค่ห้องแล็บทรงเหลี่ยมที่ไม่กว้างมาก ตรงเข้ามาจะเจอกระจกรูปวงกลมบานใหญ่เป็นมุมมองเดียวจากภายนอกที่มองเข้ามาเห็นที่นี่ ในห้องนี้มีเพียงโต๊ะทำงานเล็กๆที่เต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์และเอกสารวางระเกะระกะอยู่เท่านั้น ถ้าไม่รวมเจ้าเบย์แม็กซ์ในกล่องสีแดงนั้น ที่นี่ก็ดูว่างมากๆเลยล่ะ

       

       

       

       

       

      ไม่ต้องห่วง พี่มีที่นอนสำรองไว้ใช้ตอนโต้รุ่งเวลาทำงานวิจัยอยู่ ” ว่าแล้วคนตัวสูงก็เดินไปเอาบางอย่างออกมาจากตู้ข้างโต๊ะ

       

       

       

      และเจ้าสิ่งนั้นคือเบาะนุ่มๆที่หนาพอสมควร มันถูกพับรวมเอาไว้กับผ้าห่มสีนวลนุ่มและหมอนใบใหญ่อีกใบนึง พี่ทาดาชิบรรจงปูผ้าพวกนั้น เพียงชั่วพริบตามันก็กลายเป็น เตียงแบบสไตล์เบาะดูน่านอนทีเดียว ไม่แปลกที่พี่นอนค้างที่นี่ตั้งบ่อยโดยไม่บ่นเลยซักแอะ

       

       

       

       

      “ ใช้ได้!!” ผมเอ่ยอย่างชื่นชมพลางยื่นมือเข้าไปทดลองความนุ่มของหมอนใบหนา สัมผัสจากฝ้ายคอตตอนทำให้รู้สึกนวลมือมากขึ้น ยิ่งบวกกับผ้าปูที่ดูฟูนุ่มน่านอนนั้นอีก พูดแล้วง่วงขึ้นมาทันทีเลยนะเนี่ย

       

       

       

       

      “  ฮิโระ  มานี่ๆ ” ไม่ว่าเปล่า คนตัวสูงดึงผมให้มาคลุกอยู่บนเตียงนุ่มกับเขา น่าแปลกที่เตียงนี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่สามารถรับร่างของเราสองคนได้สบายโดยไม่เบียดกัน

       

       

       

      อุ่น...............

       

       

       

      ความอุ่นปริศนา ทำให้ผมแอบลอบคิดว่านี่เป็นเพราะผ้าห่มที่หนานุ่ม หรือเพราะแผ่นอกแน่นๆของคนตรงหน้ากันแน่ที่ทำให้ร่างกายของผมรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาทันที

       

       

       

       

      ไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น พี่ทาดาชิลุกขึ้นไปดึงม่านจากทางที่เชื่อมระหว่างห้องแล็บใหญ่ลง ก่อนที่จะกดปิดสวิตซ์ไฟตรงกำแพงกว้าง

       

       

       

      ภายในห้องตกอยู่ในความมืดทันตา แสงที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างบานกลมทำให้ผมเห็นดวงจันทร์สีนวลได้ชัดเจน ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยประกายดาว และต้นซากุระต้นใหญ่กำลังถูกสายลมพัดพาให้กลีบของมันปลิวไสวไปตามท้องฟ้าสีครามอมม่วงเข้ม

       

       

       

       

      “ ชอบมั้ย? ” พี่ทาดาชิถามเสียงยวนใจ ตั้งแต่เมื่อไหรไม่รู้ที่พี่เขากลับเข้ามาอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกับผมอีกรอบ อาจเพราะผมมัวแต่เหม่อมองบรรยากาศตรงหน้าจนลืมไปเลยก็ได้ว่าตอนนี้ ที่นี่ มีเพียงเราแค่สองคน

       

       

       

       

      แค่เราสองคน.....

       

       

       

      “ ฮิโระ....” เสียงทุ้มเข้มดึงสติผมหลุดลอยไปตามความเงียบสงัด พวกเรานอนจ้องหน้ากันเงียบๆโดยที่พี่ทาดาชินอนเท้าคางเอียงคอมาทางผม

       

       

       

       

      “ ที่นี่มีแค่เราสองคนแล้วสินะ? ” ผมแกล้งถาม

       

       

       

       

      “ ใช่~~~~ ” พอเห็นผมถาม คนขี้แกล้งก็รีบหัวเราะในลำคอเบาๆ “ แล้วทำไมเหรอ ถามงี้ เราอยากให้พี่ทำอะไรล่ะครับ คนดี ”

       

       

       

       

      “ หา!!! ไม่รู้!! จะนอนแล้ว! ” ผมรีบเอาผ้าห่มคลุมหน้าเพื่อไม่ให้พี่รู้ว่าผมกำลังอายโครตๆ ไม่น่าเผลอถามอะไรแปลกๆออกไปเลย!

       

       

       

      จะดีเหรอ ที่นี่มีแต่เราสองคนนะ คิดว่าพี่จะทนไหวเหรอครับ เด็กดีของพี่ ” เสียงแหบๆกระซิบข้างใบหูผมอย่างแผ่วเบา มือที่รู้งานพลางซุกไซ้ผ่านผ้าห่มหนามาโอบเอวผมเอาไว้แน่น รู้ตัวอีกทีร่างกายของผมก็โดนร่างสูงพันธนาการไว้ซะแล้ว

       

       

       

       

      “ แค่ตอนนี้.....

       

       

       

      “ ??? ”

       

       

       

      “ ถ้าแค่ตอนนี้..... จะยอมก็ได้ ” นี่ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย!!!!!

       

       

       

      “ พูดแบบนี้กำลังยั่วพี่เหรอเนี่ย ฮิโระของพี่นี่น่ารักจะเลยนะ~~ ”

       

       

       

      “ อะ... อะไรเล่า ก็แค่.... ”

       

       

       

      ก็แค่???”

       

       

       

      ก็แค่.... แค่คิดว่านี่อาจเป็นเวลาเดียวที่ผมสามารถแสดงความรู้สึกที่มีต่อพี่ได้โดยไม่ต้องปิดบังใคร ไม่ต้องทน..... ” ผมกลั้นใจพูดออกไปรวดเดียว การรู้สึกรักใครมากขนาดนี้แต่กลับแสดงมันออกไปไม่ได้ มันเจ็บปวดมากมายขนาดนี้เลยเหรอ?

       

       

       

      “ พี่รู้ ” พี่ทาดาชิจูบที่หางตาผมเบาๆอย่างปลอบโยน ร่างสูงดึงหมวกแก็ปคู่ใจออกไปวางไว้เหนือหัวเตียงก่อนที่จะก้มลงมามองผมด้วยแววตาที่หลากหลายความรู้สึก

       

       

       

       

      “ มันผิดมั้ยครับ ที่ผมรักพี่มากขนาดนี้ ” ผมยื่นมือไปดึงฝ่ามืออุ่นๆของอีกฝ่ายให้ลงมาแนบบนแก้มเนียนใสของผม

       

       

       

      “ ไม่รู้สินะ ” แววตาอ่อนโยนมองผมอยู่เนิ่นนาน “ พี่บอกไม่ได้หรอกว่าอะไรมันผิด อะไรมันถูก แต่สิ่งเดียวที่พี่รู้สึกได้ตอนนี้ คือ ‘ พี่รักนาย’  ”

       

       

      “ ผมก็เหมือนกัน ”

       

       

       

       

      ไม่ว่าเปล่า คนตัวสูงก้มลงปิดปากผมด้วยริมฝีปากนุ่มนิ่ม สัมผัสเบาบางราวกับสายลมอ่อนนุ่มพัดพาร่างของเราทั้งสองคนให้หลุดลอยไปในมิติที่ไร้จุดจบ ผมเลื่อนมือขึ้นโอบรอบคอของพี่ทาดาชิให้ลงมาใกล้ยิ่งขึ้น ร่างสูงเปลี่ยนท่ามาคร่อมร่างกายของผมเอาไว้แทนโดยที่ไม่ยอมถอนริมฝีปากออกห่างกันแม้แต่เสี้ยววินาที

       

       

       

       

      สมองไม่ทำตามหัวใจ...........

       

       

       

      สัมผัสยังคงดำเนินอยู่เนิ่นนาน ผมไม่รู้ว่าเราจูบกันไปนานแค่ไหน สติของผมถูกทำลายจนหมดสิ้น เหลือเพียงความรู้สึกเคลิบเคลิ้มที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น

       

       

       

       

      ไม่นานนัก พี่ทาดาชิก็ถอดริมฝีปากออกห่างจากผม เขากวาดมองใบหน้าของผมอย่างไม่ละสายตาพร้อมยื่นมือเข้าไล่สัมผัสแก้มเนียนนุ่มของผมอีกครั้ง

       

       

       

       

      รู้ใช่มั้ยว่าพี่จะทำอะไรเราต่อน่ะ

       

       

       

      ผมไม่พูดอะไร แต่รีบพยักหน้าออกไปด้วยความเขินอาย

       

       

      กลัวมั้ย? ” เจ้าของเลือนผมสีดำถามขึ้นอีกครั้ง และผมก็ได้เพียงส่ายหน้าไปมา เมื่อเห็นแบบนั้น พี่ชายตัวแสบก็ยิ้มหวานจนเป็นผลให้ผมแทบละลายตายคาอ้อมกอดนี่ซะให้ได้

       

       

       

       

      ไม่รอช้า มือสองข้างรีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนออกอย่างว่องไว ต่อด้วยเสื้อยืดสีขาวสะอาดเผยให้เห็นแผ่นอกเนียนที่มีกล้ามเนื้อดูน่าสัมผัสอย่างบอกไม่ถูก ผมเผลอมองร่างกายเปลือยเปล่านั้นอยู่นานโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆที่ผมก็อาบน้ำกับพี่ชายตั้งบ่อย แต่ทำไมถึงได้ใจเต้นแรงขนาดนี้กันนะ

       

       

       

       

      คนขี้แกล้งเห็นผมหน้าแดงขึ้นมาก็หัวเราะเบาๆ เจ้าตัวก้มลงจูบซอกคอของผมอย่างหยอกเล่นแล้วกระซิบเสียงหวาน

       

       

       

      “ จะให้พี่ถอดให้ หรือจะถอดเองดีๆครับ ”

       

       

       

      ถะ ถอดเองได้น่า!!!” ผมดันแผ่นอกเปลือยเปล่าของร่างสูงออกด้วยความเขินสุดขีด ทำไมพี่ชอบแกล้งผมจังเนี่ย!!!!

       

       

       

      ว่าแล้วผมก็ถอดเสื้อกันหนาวสีน้ำเงินแกมเทาของตัวเองออกช้าๆ จากนั้นก็ตามด้วยเสื้อยืดสีแดงลายฮีโร่ตัวโปรดออกมากล้าๆกลัวๆ ตอนนี้ผมก็เหลือแค่กางเกงกับพี่แล้วเนี่ย

       

       

       

       

       

      ( วาร์ปๆ ==> http://luciidear.exteen.com/20141227/fic-r-18-tadashixhiro-shades-of-sakura-memory)

       

       

       

       

       

       

      ความสุขนี้ยังดำเนินต่อไปโดยที่ผมไม่รู้เลยว่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างกำลังจะพรากเราสองคนไปจากกัน......

       

       

       

       

       

       

      ท่ามกลางสุสานสไตล์ตะวันออกผสมยุโรปที่แสนเงียบสงัดไร้ผู้มาเยือนอยู่เป็นเวลานาน มีเพียงเสียงหายใจเบาบางของผมเท่านั้นที่ทำลายความเงียบนั้นลง เท้าที่เหยียบเศษใบไม้แห้งสีเขียวเข้มส่งเสียงกรอบแกรบจนน่ารำคาญหู แต่ถึงยังงั้นนัยน์ตาสีดำสนิทของผมก็ยังคงจับจ้องหลุมศพสีเทาที่สลักจากหินอ่อนตรงหน้าอย่างไม่วางตา

       

       

       

       

      มือที่รู้งานคว้าช่อดอกไฮเดรนเยียสีม่วงอมฟ้าดูสบายตาออกมาวางบนแท่นหลุมศพพลางกรีดยิ้มบางๆก่อนที่จะจุดธูปดอกเล็กแล้วยกมือขึ้นไหว้ตามลำดับ

       

       

       

      “ พี่ครับ ตอนนี้ผมจะเรียนจบมหาลัยแล้วนะครับ ” อาจเพราะความเงียบสงัดไร้สิ่งมีชีวิตใดๆทำให้ผมได้ยินเสียงของตัวเองชัดเจน หรืออาจเพราะถ้อยคำเหล่านั้นล้วนกลั่นออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ ฤทธิ์ของมันจึงเสียดแทงแทบทะลุออกมาจากลำคอในทุกถ้อยคำ

       

       

       

      “ ทุกคนสบายดี ” หลังจากเงียบไปนานผมจึงเริ่มเอ่ยต่อ “ ป้าเคสยังแข็งแรงเหมือนเดิม โมจิเองก็ยังร่าเริงอยู่นะ เจ้านั้นอ้วนสุดๆไปเลยล่ะ เป็นแค่แมวแท้ๆ น่าหมั่นไส้ชะมัด

       

       

       

      เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนดังตัดอารมณ์ที่แท้จริงเอาไว้ ผมกวาดมองแท่นหลุมศพนั้นอย่างอ่อนโยนพร้อมมือที่วางแนบแผ่นหินเย็นๆพลางลูบรูปภาพของพี่ชายอันเป็นที่รัก แล้วจึงเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้

       

       

       

      “ ไม่ต้องห่วงนะครับพี่ ผมไม่มีวันทิ้งความฝันของตัวเอง เหมือนที่พี่ไม่เคยท้อแท้ที่จะปกป้องความฝันของผมตลอดมา ขอบคุณนะครับ ”

       

       

       

      ขอบคุณจริงๆ......

       

       

       

      ผมตัดใจหมุนตัวออกห่างจากหลุมศพพร้อมรอยยิ้มจากนั้นจึงหันไปสบตากับเจ้ามาร์ชเมลโล่น่ากอดตัวใหญ่ในชุดเกราะสีแดงชวนอลังสายตาแล้ววิ่งออกไปพร้อมความมุ่งมั่นราวกับได้เติมเต็มพลังชีวิตมาเลยก็ว่าได้

       

       

       

      “ ไปกันเถอะ เบย์แม็กซ์ ”

       

       

       

      ร่างของผมกระโดดขึ้นเกาะเจ้าหุ่นยนต์นุ่มนิ่มก่อนที่เบย์แม็กซ์จะพุ่งทะยานขึ้นฟ้าจนหายลับจากไป ทิ้งไว้เพียงสุสานที่แสนเงียบสงัด และความทรงจำที่ยังคงตราตรึงในเบื้องลึกของหัวใจ

       

       

      ดอกไฮเดรนเยียช่อนั้นมันมีความหมายที่แอบซ่อนอยู่ สีหวานชวนฝันและกลีบสวยที่แสนยั่วยวนผู้พบเห็นนั้นราวกับเป็นดอกไม้แห่งความปรารถนา

       

       

       

      ความหมายจริงๆที่ต้องการสื่อออกไป ไม่มีอะไรนอกไปจากถอยคำสั้นๆที่ผมเฝ้าทบทวนให้ขึ้นใจ

       

       

       

      “ ขอบคุณที่เข้าใจในตัวผม และภูมิใจในตัวผมเสมอนะครับ พี่ทาดาชิ

       

       

       

       

      -           ( END )   -

       

       

       


       

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×